ลบ
แก้ไข
จีนคือแหล่งเรียนคุณภาพใหม่…คงไม่เกินไปหากจะใช้คำนี้ในยุคนี้ แต่หากเป็นสมัยประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมคงบอกว่าไปเรียนไต้หวันดีกว่า เพราะยุคนั้นการศึกษาจีนในมุมมองของต่างชาติยังเป็นช่วงไม่มีอะไรหวือหวา ซ้ำร้ายหากนึกแค่ไปเมืองจีน ยังดูไม่ค่อยปลอดภัยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการจะส่งนักเรียน นักศึกษาไปใช้ชีวิตที่นั่น
ขณะที่ไต้หวันมีมหาวิทยาลัยที่น่าเชื่อถือหลายแห่ง มีความเก่าแก่และชื่อเสียงในเรื่องความมีคุณภาพการศึกษาที่ไม่น้อยหน้ากว่าญี่ปุ่นเท่าใดนัก อีกทั้งความเจริญและทันสมัยของประเทศเกาะเล็ก ๆ นี้ยังดูล้ำหน้ากว่าจีน แต่การพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดดของจีนในห้วงประมาณทศวรรษที่ผ่านมา กอปรกับวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศที่ยาวไกล นอกจากจะทำให้แดนมังกรมีเศรษฐกิจที่รุดหน้า จนมีระบบเศรษฐกิจที่โตขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา อีกทั้งมีแนวโน้มจะแซงขึ้นไปเป็น เบอร์ 1 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
รัฐบาลจีนได้กำหนดนโยบาย "การพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ และการศึกษา"นอกจากนั้น ยังมุ่งที่จะปฏิรูประบบการศึกษาในแนวลึก โดยการจัดการศึกษาแบบให้เปล่าถึง 9 ปี รัฐบาลจีนได้สนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐในทุกระดับ เพิ่มการลงทุนทางด้านการศึกษา ภายใต้หลักการ "การพัฒนาสู่ความทันสมัยเปิดสู่โลกและอนาคต" ในส่วนที่เกี่ยวกับต่างชาติก็เน้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาต่างชาติ แต่ละปีมีข่าวถึงการให้ทุนจากจีนหลายร้อยทุน จากการสนับสนุนของรัฐบาลจีน ผ่านไปทางมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
จากการทำข่าวทุนมานานพอสมควร กล้ายืนยันได้ว่า โดยรวมแล้ว หากเป็นทุนเต็มจำนวน และไม่จำกัดสาขาเรียน ทุนของจีน(ทุนรัฐบาล CSC) มีมากที่สุดกว่าประเทศใด ๆ ในโลก
ปัจจุบันจีนมีมหาวิทยาลัยที่ยกระดับขึ้นมาจำนวนมาก(จากทั้งหมด 200 กว่าแห่งทั่วประเทศ)สังเกตได้จากการติดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของหลายสถาบันจัดอันดับที่ประกาศผลออกมา มักมีชื่อมหาวิทยาลัยจีน โดยเฉพาะ 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำต่อไปนี้
Peking University.
Tsinghua University.
Zhejiang University.
Fudan University.
Shanghai Jiao Tong University.
Nanjing University.
Wuhan University.
ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Tsinghua University ขึ้นแท่นแท่นอันดับที่ 1 เอเชียมาหลายสมัย สาเหตุหลักที่ทำให้ชิงหัวก้าวขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 นั้น เป็นเพราะได้คะแนนเพิ่มมากขึ้นในด้านสภาพแวดล้อมการเรียนการสอน และวิจัยด้านคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสองสิ่งที่จีนก้าวแซงหน้าสหรัฐและยุโรป จีนก้าวหน้าเร็วมากโดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพและวิศวกรรม รวมถึงผลงานทางวิชาการที่ได้รับการอ้างอิง ตลอดจนคะแนนด้านความเป็นสากลจากสายตาภายนอก (International Outlook)
โดยสรุปการไปเรียนจีนของนักศึกษาต่างชาตินั้น มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนติดท็อปเท็นโลกไปแล้ว เพราะนโยบายที่เปิดรับผู้เรียนต่างชาติ มหาวิทยาลัยส่วนมากมีโปรแกรมที่สอนด้วยภาษาอังกฤษ บ้างก็ควบคู่ไปกับภาษาจีนให้เลือก จีนมีความยืดหยุ่นสำหรับคนที่ภาษาจีนยังไม่แข็งแรงนัก ด้วยการเปิดคอร์สเตรียมภาษาจีนให้เรียนฟรีปีแรก ในส่วนการพิจารณาเรื่องการให้ทุนก็ไม่เข้มเหมือนอเมริกา หรือชาติยุโรป ผู้สมัครมีความตั้งใจ แสดงถึงการให้ความสำคัญกับจีนอย่างจริงจัง ก็มีโอกาสได้ทุนไม่ยากจนเกินไป
การเรียนที่จีนแม้จะไม่ได้อยู่ในสังคมภาษาอังกฤษเหมือนไปอยู่ที่ชาติตะวันตก แต่ก็ได้เรียนโปรแกรมอินเตอร์ หรือการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษ ขณะที่ก็จะได้ภาษาของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกอย่างภาษาจีนเพิ่มมาอีกภาษา ถือว่าคุ้มค่าสำหรับชีวิตในอนาคตทีเดียว
เหตุนี้ผู้เขียนจึงให้คะแนนความสำคัญของการไปเรียนต่อที่จีน เป็นอันดับ 2 รองจากอเมริกา…
ส่วนอีก 2 ชาติถัดไปขอกล่าวถึง อังกฤษ และออสเตรเลียครับ
“แดนผู้ดี”อังกฤษ ชาติต้นแบบยอดนิยม
ผู้นำทางการศึกษาระดับโลกมาแต่โบราณ ที่นี่เต็มไปด้วยมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานมากมายและระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยมสมกับเป็นผู้เป็นต้นแบบการศึกษาให้กับประเทศอื่น นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกภาษาอังกฤษสำเนียงของแท้อีกด้วย ไม่ใช่แค่การศึกษาที่ดี บรรยากาศในการอยู่อาศัยยังเอื้ออำนวยให้ได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่
มหาวิทยาลัยดัง ๆ เพียบ เช่น..,
เป็นที่ทราบกันดีว่า ด้วยชื่อชั้นของอังกฤษ การจะไปเอาปริญญากลับมาก็ต้องแลกด้วยที่สูงกว่า หลาย ๆ ชาติ ดังนั้นนักเรียนต่างชาติ ต้องมีแบ็คอัพที่มีฐานะการเงินแข็งพอสมควร หรือไปแล้วมั่นใจได้ว่าจะมีช่องทางทำงานพิเศษเพื่อหารายได้มาช่วยหนุนเรื่องค่าเรียน และค่าครองชีพที่สูง
ส่วนคนที่มองหาตัวช่วยเรื่องทุน มหาวิทยาลัยของอังกฤษก็มีเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่มักเป็นทุนบางส่วนขณะที่ทุนเต็มจำนวนอย่างBritish Cheveningที่เป็นที่หมายปองของคนจำนวนมาก ก็ต้องแลกมาด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดคูณ 2 ซ้ำมีจำนวนทุนที่ให้แต่ละปีน้อยมาก...
2023เรียนต่อนอกกลับมาคึกคัก(Ep2)
จีนคือแหล่งเรียนคุณภาพใหม่…คงไม่เกินไปหากจะใช้คำนี้ในยุคนี้ แต่หากเป็นสมัยประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมคงบอกว่าไปเรียนไต้หวันดีกว่า เพราะยุคนั้นการศึกษาจีนในมุมมองของต่างชาติยังเป็นช่วงไม่มีอะไรหวือหวา ซ้ำร้ายหากนึกแค่ไปเมืองจีน ยังดูไม่ค่อยปลอดภัยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการจะส่งนักเรียน นักศึกษาไปใช้ชีวิตที่นั่น
ขณะที่ไต้หวันมีมหาวิทยาลัยที่น่าเชื่อถือหลายแห่ง มีความเก่าแก่และชื่อเสียงในเรื่องความมีคุณภาพการศึกษาที่ไม่น้อยหน้ากว่าญี่ปุ่นเท่าใดนัก อีกทั้งความเจริญและทันสมัยของประเทศเกาะเล็ก ๆ นี้ยังดูล้ำหน้ากว่าจีน แต่การพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดดของจีนในห้วงประมาณทศวรรษที่ผ่านมา กอปรกับวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศที่ยาวไกล นอกจากจะทำให้แดนมังกรมีเศรษฐกิจที่รุดหน้า จนมีระบบเศรษฐกิจที่โตขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา อีกทั้งมีแนวโน้มจะแซงขึ้นไปเป็น เบอร์ 1 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
รัฐบาลจีนได้กำหนดนโยบาย "การพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ และการศึกษา"นอกจากนั้น ยังมุ่งที่จะปฏิรูประบบการศึกษาในแนวลึก โดยการจัดการศึกษาแบบให้เปล่าถึง 9 ปี รัฐบาลจีนได้สนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐในทุกระดับ เพิ่มการลงทุนทางด้านการศึกษา ภายใต้หลักการ "การพัฒนาสู่ความทันสมัยเปิดสู่โลกและอนาคต" ในส่วนที่เกี่ยวกับต่างชาติก็เน้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาต่างชาติ แต่ละปีมีข่าวถึงการให้ทุนจากจีนหลายร้อยทุน จากการสนับสนุนของรัฐบาลจีน ผ่านไปทางมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
จากการทำข่าวทุนมานานพอสมควร กล้ายืนยันได้ว่า โดยรวมแล้ว หากเป็นทุนเต็มจำนวน และไม่จำกัดสาขาเรียน ทุนของจีน(ทุนรัฐบาล CSC) มีมากที่สุดกว่าประเทศใด ๆ ในโลก
ปัจจุบันจีนมีมหาวิทยาลัยที่ยกระดับขึ้นมาจำนวนมาก(จากทั้งหมด 200 กว่าแห่งทั่วประเทศ)สังเกตได้จากการติดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของหลายสถาบันจัดอันดับที่ประกาศผลออกมา มักมีชื่อมหาวิทยาลัยจีน โดยเฉพาะ 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำต่อไปนี้
Peking University.
Tsinghua University.
Zhejiang University.
Fudan University.
Shanghai Jiao Tong University.
Nanjing University.
Wuhan University.
ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Tsinghua University ขึ้นแท่นแท่นอันดับที่ 1 เอเชียมาหลายสมัย สาเหตุหลักที่ทำให้ชิงหัวก้าวขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 นั้น เป็นเพราะได้คะแนนเพิ่มมากขึ้นในด้านสภาพแวดล้อมการเรียนการสอน และวิจัยด้านคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสองสิ่งที่จีนก้าวแซงหน้าสหรัฐและยุโรป จีนก้าวหน้าเร็วมากโดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพและวิศวกรรม รวมถึงผลงานทางวิชาการที่ได้รับการอ้างอิง ตลอดจนคะแนนด้านความเป็นสากลจากสายตาภายนอก (International Outlook)
โดยสรุปการไปเรียนจีนของนักศึกษาต่างชาตินั้น มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนติดท็อปเท็นโลกไปแล้ว เพราะนโยบายที่เปิดรับผู้เรียนต่างชาติ มหาวิทยาลัยส่วนมากมีโปรแกรมที่สอนด้วยภาษาอังกฤษ บ้างก็ควบคู่ไปกับภาษาจีนให้เลือก จีนมีความยืดหยุ่นสำหรับคนที่ภาษาจีนยังไม่แข็งแรงนัก ด้วยการเปิดคอร์สเตรียมภาษาจีนให้เรียนฟรีปีแรก ในส่วนการพิจารณาเรื่องการให้ทุนก็ไม่เข้มเหมือนอเมริกา หรือชาติยุโรป ผู้สมัครมีความตั้งใจ แสดงถึงการให้ความสำคัญกับจีนอย่างจริงจัง ก็มีโอกาสได้ทุนไม่ยากจนเกินไป
การเรียนที่จีนแม้จะไม่ได้อยู่ในสังคมภาษาอังกฤษเหมือนไปอยู่ที่ชาติตะวันตก แต่ก็ได้เรียนโปรแกรมอินเตอร์ หรือการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษ ขณะที่ก็จะได้ภาษาของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกอย่างภาษาจีนเพิ่มมาอีกภาษา ถือว่าคุ้มค่าสำหรับชีวิตในอนาคตทีเดียว
เหตุนี้ผู้เขียนจึงให้คะแนนความสำคัญของการไปเรียนต่อที่จีน เป็นอันดับ 2 รองจากอเมริกา…
ส่วนอีก 2 ชาติถัดไปขอกล่าวถึง อังกฤษ และออสเตรเลียครับ
“แดนผู้ดี”อังกฤษ ชาติต้นแบบยอดนิยม
ผู้นำทางการศึกษาระดับโลกมาแต่โบราณ ที่นี่เต็มไปด้วยมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานมากมายและระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยมสมกับเป็นผู้เป็นต้นแบบการศึกษาให้กับประเทศอื่น นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกภาษาอังกฤษสำเนียงของแท้อีกด้วย ไม่ใช่แค่การศึกษาที่ดี บรรยากาศในการอยู่อาศัยยังเอื้ออำนวยให้ได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่
มหาวิทยาลัยดัง ๆ เพียบ เช่น..,
1 | University of Cambridge |
2 | University of Oxford |
3 | London School of Economics and Political Science, University of London |
4 | University of St Andrews |
5 | University of Bath |
6 | Imperial College London |
7 | Loughborough University |
8 | Durham University |
9 | UCL (University College London) |
ส่วนคนที่มองหาตัวช่วยเรื่องทุน มหาวิทยาลัยของอังกฤษก็มีเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่มักเป็นทุนบางส่วนขณะที่ทุนเต็มจำนวนอย่างBritish Cheveningที่เป็นที่หมายปองของคนจำนวนมาก ก็ต้องแลกมาด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดคูณ 2 ซ้ำมีจำนวนทุนที่ให้แต่ละปีน้อยมาก...
สมเกียรติ เทียนทอง
ชม 172 ครั้ง
TOP RELATED
NEW STORIES