The Idol น้องพราวนักเรียนแลกเปลี่ยน ประเทศฮังการี
วันนี้ทาง Interscholarship ได้รับเกียรติจากน้องพราว เพื่อมาแชร์ประสบการณ์ในการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของโครงการ AFS มาให้ทุกคนได้ทราบกันค่ะ
สวัสดีค่ะ เราชื่อพราวนะ ตอนนี้อายุ19 กำลังศึกษาชั้นปีที่1 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นะ คือเราสอบได้ทุนไปแลกเปลี่ยน1ปี ที่ประเทศฮังการี ซึ่งตอนเราได้แรกๆ ทุกคนถามเราหมดเลยว่าประเทศนี้เลือกอันดับที่เท่าไหร่(AFSจะให้เราเลือก3อันดับประเทศที่เราอยากจะไป) ประเทศชื่ออะไรนะ? อยู่ที่ไหนหรอ? ซึ่งจริงๆเราเลือกประเทศฮังการีเป็นอันดับที่1เลยนะ เราอยากไปมากจริงๆ ขอเล่าเหตุผลสั้นๆนะ คือเราชอบเล่นไวโอลินและหลงใหลในเสียงดนตรีมาก จนครั้งนึงป้าเราซื้อดีวีดีคอนเสิร์ตมาให้ แล้วมีเพลงหนึ่งเป็นเพลงที่เราพึ่งเคยได้ยินครั้งแรกแล้วทำให้เราตกหลุมรักมันมากๆ เพลงนั้นมีชื่อว่า The Beautiful Blue Danube ซึ่งพอเราไปหาข้อมูลของเพลงๆนี้ทำให้เรารู้ว่า มันเป็นชื่อของแม่น้ำ ซึ่งแม่น้ำสายนี้มีส่วนโค้งที่สวยที่สุดคือ ที่กรุงบูดาเปส ประเทศฮังการี ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่เราบอกกับตัวเองว่า ขอให้มีโอกาสไปเยือนซักครั้งในขีวิตนี้
ต้องบอกก่อนเลยนะว่าตอนที่เราสอบเราอายุเ้พียง15 ปี และภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อยดีมากนัก ทั้งพูดก็ไม่ค่อยได้ แกรมม่าก็ไม่ค่อยดี แต่ตอนนั้นมีความตั้งใจ ก็เลยลองไปสอบดู พอวันที่ผลสอบออกมาว่าเราผ่านรอบข้อเขียน ตรงนั้นและจุดเปลี่ยนชีวิตเราเลย มันเหมือนเราก้าวผ่านมาจุดนึงแล้ว เหลือแค่อีกก้าวเดียว ความฝันเราจะเป็นจริง เราขอแม่ไปเรียนเพิ่มอาทิตย์ละ3 วัน แต่จุดที่สำคัญก็คือ เราฝึกพูดเองคนเดียวทุกวัน ฝึกแนะนำตัว ฝึกสำเนียง ฝึกการแสดงอารมณ์และความรู้สึก การใช้ประโยค คือตอนนั้นเราทำโดยไม่รู้สึกเบื่อเลยคือสนุกมากๆ ตอนฝึกแรกๆนี่ลิ้นพันกัน พูดแล้วแปลกๆบ้าง แต่เราก็ทำทุกวัน จนถึงวันสอบสัมภาษณ์ เราได้เตรียมตัวมาอย่างดีทั้งตั้งใจ และมุ่งมั่นมากๆ แล้ววันนั้นก็ผ่านพ้นไปด้วยดี.. พอถึงวันประกาศผล เราตื่นเต้นมากๆ รอทั้งวัน ประมาณสี่ทุ่มผลจึงออกมา แล้วเราได้เป็นตัวจริง ตอนนั้นคือดีใจมากๆ ตื้นตันใจมากๆ เหมือนมันเป็นความสำเร็จที่เราทำเองครั้งแรก จากสิ่งที่ไม่เคยทำได้ดีจนตอนนี้พัฒนาจนทำให้ชีวิตเราเก้าไปถึงจุดที่ยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น ด้วยความที่เราไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย ไม่มีใครคาดหวังว่าเราจะทำได้ ตรงนั้นก็เป็นข้อดีเพราะไม่มีใครมากดดันเรา "ฝันร้อยครั้งก็ไม่เท่าลงมือทำครั้งเดียวจริงๆ"
''เราตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ว่า โอกาสการเปิดโลกที่เราได้ครั้งนี้ เราต้องค้นหาตัวเองให้เจอ ว่าจริงๆแล้วเราชอบอะไร เป็นคนแบบไหน สไตล์เราจริงๆคืออะไร''
ประสบการณ์ตอนไปแลกเปลี่ยนตอนนั้น มีทั้งสุขและเศร้า แต่มันทำให้เราเรียนรู้ คือตั้งแต่ก้าวเข้าไปในฮังการี เราพยายามที่จะเป็นคนเปิดกว้างในการเรียนรู้มากขึ้น หัดทักทายคนอื่นก่อนบ้าง ที่สำคัญเลยคือการถามเยอะๆ จะทำให้เราและเค้าได้รู้จักกันมากขึ้น เพราะตอนนั้นทุกคนใหม่หมด และพร้อมที่จะยอมรับกันอยู่แล้ว เราคว้าทุกโอกาสที่เข้ามาเลยจริงๆนะ เพราะเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยน มาจากต่างบ้านต่างเมือง ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ทุกคนย่อมให้ความสนใจกับเรา ไม่ว่าจะเป็นการให้เราไปนำเสนอเกี่ยวกับประเทศไทยในโรงเรียนต่างๆ ให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ฟัง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เรามีความกล้าแสดงออก และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เราไปเรียนดนตรี ก็ทำให้เราเห็นเสน่ห์ที่แท้จริงของมัน ได้เทคนิคแปลกใหม่มาเยอะเลย ไปเรียนทำดอกไม้ปลอม เราก็ไม้มิตรภาพที่ดีกับคุณป้าที่สอน ที่คอยเตรียมอาหาร หรือขนมไว้ให้ทุกครั้งที่ไป แถมไม่คิดเงินเลยด้วย เรายังได้มิตรภาพที่ดีกับคนที่นั่นไม่ว่าจะเป็นคุณลุงขับรถบัสที่แสนใจดี จอดให้เราลงซอยที่เราจะเดินกลับบ้านที่ใกล้ที่สุดแม้ว่าจะยังไม่ถึงป้าย คุณป้าร้านเบเกอรี่ ที่ซื้อทุกวันจนบางวันแถมให้เยอะมากๆ หรือเวลาแกลองทำขนมอะไรใหม่ๆก็จะเอามาให้ชิมก่อน มิตรภาพที่ดีระหว่างเพื่อน คือเราโชคดีมากนะที่ได้เพื่อนที่ดีและครูประจำชั้นที่ดีมากๆ พวกเค้าคอยช่วยเหลือ เป็นกำลังใจ และสอนเราหลายๆอย่าง เค้าให้แง่คิดในการใช้ชีวิตในหลายๆเรื่อง เด็กที่นั่นค่อนข้างจะมีความคิดและทัศนคติที่ดี ทุกคนวางแผนถึงอนาคตตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด และมีความรับผิดชอบ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชื่นชมมาก
และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ ครอบครัวอุปถัมป์ ซึ่งเราก็โชคดีที่ได้เจอครอบครัวที่น่ารักๆถึงสองครอบครัว ครอบครัวแรกเป็นครอบครัวใหญ่มีสมาชิกทั้งหมด6คน พ่อเป็นนายพราน แม่เป็นศิลปินวาดภาพ คุณยายทำขนม และน้องชายจอมซนอีก3คน ซึ่งบ้านแรกทำให้เราเรียนรู้คำว่า คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก และ ความสุขมีอยู่รอบตัว บ้านแรกเป็นบ้านเล็กๆอยู่บนภูเขา แต่บรรยากาศดีมากอบอุ่นมาก ด้วยความที่เป็นครอบครัวใหญ่จึงต้องประหยัด สถานที่เที่ยวสุดสัปดาห์จึงเป็น การไปเดินป่า ไปเก็บผลไม้ ไปขนฟืนบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำ แต่พอได้ทำเรามีความสุขมาก สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงขึ้นไม่ป่วยเลย กินผัก ผลไม้เยอะ น้องชายก็น่ารักเราสนิทกันเร็วมาก เราก็เรียนภาษาและสิ่งต่างๆพร้อมน้อง ซึ่งก็สนุกมากเลยทีเดียว ส่วนครอบครัวที่สองก็น่ารักและอบอุ่นมากเช่นกัน ครอบครัวนี้เหมือนมาช่วยเติมเต็มความฝันหลายๆอย่างของเรา เค้าพาเราไปรู้จักประเทศนี้ให้ดีมากยิ่งขึ้น พาไปวัง พิพิธภัณฑ์ ไปงานเทศกาลต่างๆ โดยเรารู้สึกว่าเรารักประเทศนี้มากเลย มันเหมือนเราพบเจอจิตวิญญาณของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้ ยอมรับ สิ่งใหม่ๆที่เข้ามาในแต่ละว่า เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราเติบโตขึ้น
พอเรากลับมาเราเริ่มหาโอกาสให้ตัวเอง เพราะเราก็มั่นใจระดับนึงว่าด้านภาษาและด้านต่างๆเราพัฒนาขึ้นนะ เริ่มจากการขอเป็นพิธีกรภาคภาษาอังกฤษในโรงเรียน การไปแข่งขันสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ แข่งขันสะกดคำ เราไปหมดได้ที่3 บ้าง ชมเชยบ้าง จนมาถึงการแข่งขันที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนและดีขึ้นมาก คือเราไปแข่งการเขียนเรียงความ เพื่อชิงทุนไปศึกษาที่สิงค์โปร์ระยะสั้น ซึ่งเราพยายามเต็มที่มาก หาข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าภาษา และทักษะต่างๆ ความคิด ทัศนคติเราดีขึ้น พอถึงวันเเข่งขัน เค้าก็มีการบรรยายและให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ซึ่งเราบอกเลยว่าตั้งใจฟังมาก พอถึงเวลาแข่งขัน เข้ามีคำถามมาให้สั้นๆประมาณ 3-4คำถามแล้วให้เราเขียนตอบ ตอนนั้นเราก็คิดนะว่า แกรมม่า การเรียงประโยคต่างๆของเราก็ไม่ได้ดีมาก แล้วเราจะชนะได้ยังไง เราเลยคิดว่าเราต้องเสนอให้เค้าเห็นถึงความกระตือรือร้น แง่คิด และ ทัศนคติต่างๆของเราให้เค้าเห็น ความมุ่งมั่นและตั้งใจที่เรามี ว่าถ้าเค้าเลือกเรา เราจะใช้โอกาสที่เค้าให้อย่างคุ้มค่าที่สุด จนสุดท้ายผลออกมาคือเราประสบความสำเร็จ เป็นครั้งแรกที่เราประสบความสำเร็จจากความพยายามของเรา ถึงแม้ประเทศที่เราไปจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ แต่เราคิดเสมอว่า เรามีโอกาสได้ไปอยู่เมืองนอกแล้ว ถ้ามีโอกาสเราก็มักจะฝึกพูดเสมอ ทุกอย่างมันใช้เวลา ขอแค่เราอดทนเราจะทำมันได้ดีขึ้นเอง
Interscholarship ขอขอบคุณน้องพราวอีกครั้ง สำหรับการนำประสบการณ์ดีๆที่ได้จากการเป็นนักเรียนแลกปลี่ยนที่ประเทศฮังการี มาบอกต่อ ซึ่งทางเรามีความคาดหวังว่า บทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจ และสามารถจุดประกายความฝัน ให้น้องๆทุกคนที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ
สามารถติดตามน้องพราวได้ที่ Facebook: Proudphat Taecharongroj (Lalin)