ลบ
แก้ไข
ถึงจุดจบของจักรวรรดิ "มหาวิทยาลัยตะวันตก" แล้วหรือ ?
องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ได้กล่าวไว้ว่า?ในช่วงสุดท้ายของศตวรรษนี้ อัตราส่วนของบัณฑิตหนุ่มสาวทุกๆ 4 คนจาก 10 คนของบัณฑิตในโลกนี้จะมาจากประเทศแค่ 2 ประเทศ คือ ประเทศจีนและประเทศอินเดีย
เขียนบทความ/แปล/เรียบเรียงโดย :?ต้นซุง Eduzones
สวัสดีชาว Interscholarship?ทุกคนครับ ถ้าจะกล่าวถึงมหาวิทยาลัยในต่างประเทศยอดนิยม นักเรียนไทยและนักเรียนต่างชาติหลายคนคงนึกถึงมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร?หรือมหาวิทยาลัยในยุโรป?ซึ่งมีความเก่าแก่และมีระบบการศึกษาที่ดีมานานหลายยุคหลายสมัยแล้ว เช่น?มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซึ่งอยู่ในสหรัฐอเมริกา?มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ซึ่งอยู่ในสหราชอาณาจักร?มหาวิทยาลัยแห่งมิวนิคและมหาวิทยาลัยไฮเดลแบกซึ่งอยู่ในประเทศเยอรมัน และอีกหลายมหาวิทยาลัยซึ่งเรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยในโลกตะวันตกครับ แต่ถ้าเราพูดถึงมหาวิทยาลัยในยุโรปแล้วหละก็ มีมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมากที่ยังคงได้รับความสนใจจากนักเรียนต่างชาติและนักเรียนในประเทศกันน้อย เหตุผลหนึ่งได้แก่ ทักษะในเรื่องของการสื่อสารที่มีภาษาราชการไม่ใช่ภาษาสากลนั่นเอง จึงทำให้เกิดอุปสรรคและปัญหาด้านการดึงดูดนักเรียนในการเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันในเวทีระดับโลกได้ครับ และเหตุผลอีกประการของนักเรียนในประเทศแถบยุโรปที่เลือกเรียนต่อในต่างประเทศ ได้แก่ การเพิ่มทักษะทางภาษา ประสบการณ์และการศึกษาวัฒนธรรมจากต่างชาติ รวมถึงความเป็นสากลของมหาวิทยาลัยระดับโลก เป็นต้น
จากการประมาณการขององค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ได้กล่าวไว้ว่า?ในช่วงสุดท้ายของศตวรรษนี้ อัตราส่วนของบัณฑิตหนุ่มสาวทุกๆ 4 คนจาก 10 คนของบัณฑิตในโลกนี้จะมาจากประเทศแค่ 2 ประเทศ คือ ประเทศจีนและประเทศอินเดีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของความสมดุลของจำนวนบัณฑิตที่เพิ่มขึ้นในทวีปเอเชีย ซึ่งเพิ่มขึ้นแซงหน้าประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกไปแล้ว
ซึ่งการคาดการณ์ในปีค.ศ. 2020 จะแสดงให้เห็นว่าประเทศจีนจะมีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วของจำนวนบัณฑิตอายุ 25-34 ปี เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 29 % ซึ่งในทางกลับกันจำนวนบัณฑิตจบใหม่ในสหรัฐอเมริกามีจำนวนลดลงอยู่ที่ 14 % โดยมีประเทศอินเดียตามหลังอยู่ในลำดับที่ 3 คือ 11 % มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าจำนวนบัณฑิตหนุ่มสาวจากสหรัฐอเมริกาและประเทศในสหภาพยุโรปเมื่อนำจำนวนมารวมกันยังมีค่าเฉลี่ยที่น้อยอย่างน่าตกใจ เช่นเดียวกับบัณฑิตจากประเทศรัสเซียที่มีผู้สำเร็จการศึกษาลดลงอย่างน่าใจหายตั้งแต่จุดเริ่มต้นของศตวรรษใหม่นี้ และมีการประมาณการจาก OECD ไว้ว่าบัณฑิตจากประเทศอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นจนแซงประเทศญี่ปุ่นมาอยู่ในลำดับที่ 5 ในอนาคตอันใกล้นี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวของการศึกษาระดับสูงนี้ เป็นเหมือนกระจกและแว่นขยายส่องประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจที่ได้ครอบงำหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่นและรัสเซีย ซึ่งส่งผลกระทบโดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยทรงอำนาจในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งในปีค.ศ. 2000 ที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนบัณฑิตหนุ่มสาวสำเร็จการศึกษาใกล้เคียงกับประเทศจีน และประเทศญี่ปุ่นมีสัดส่วนบัณฑิตใกล้เคียงกับประเทศอินเดีย?แต่วันนี้นั้นประเทศจีนและประเทศอินเดียกำลังจะเป็นประเทศที่ขึ้นเป็นผู้นำในเวทีผู้จบการศึกษาที่ใหญ่ที่สุด การเพิ่มขึ้นของผู้สำเร็จการศึกษาสะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยานในการเปลี่ยนแปลงที่ต้องแข่งขันกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นประเทศที่มีแรงงานมีความสามารถและรายได้การจ้างงานสูง แทนที่การเสนอผลิตภัณฑ์ต้นทุนต่ำเพื่อเป้าหมายในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแก่เหล่าชนชั้นกลางของยุโรปตะวันตกครอบครัวชาวจีนเช่าอพาร์ทเม้นท์ไว้ใกล้โรงเรียนลูกเพื่อตัดปัญหาในการเดินทางเวลามีการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย
OECD ไม่ได้เพียงแค่แสดงการขยายตัวของจำนวนบัณฑิตในประเทศจีนเท่านั้น แต่ในประเทศโลกอุตสาหกรรมอื่นๆก็มีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น เพียงแค่ไม่มีกำลังเท่ากับประเทศจีนที่มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนบัณฑิตถึง 5 เท่าในศตวรรษที่ผ่านมา จากการรายงานของ OECD ได้รายงานว่า?ประชากรของประเทศจีนที่จบการศึกษาอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี จะใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกาอย่างรวดเร็วในปีค.ศ. 2020?อีกทั้งแผนที่โลกเกี่ยวกับจำนวนประชากรจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยประเทศบราซิลจะมีผู้สำเร็จการศึกษามากกว่าประเทศเยอรมัน ประเทศตุรกีมากกว่าประเทศสเปน และประเทศอินโดนีเซียจะมากกว่าประเทศฝรั่งเศสถึง 3 เท่า ส่วนสหราชอาณาจักรจะมีตัวเลขบัณฑิตเพิ่มขึ้นจาก 3 % ในปีค.ศ. 2012 เป็น 4 % ในปีค.ศ. 2020 ซึ่งจากการวิเคราะห์ของ OECD ได้รายงานว่า ผู้สำเร็จการศึกษาที่มากขึ้นนี้จะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต โดยจะเปลี่ยนแปลงจากทฤษฎี?"การผลิตเพื่อมวลชนในทางเศรษฐกิจเป็นการประกอบอาชีพบนฐานของความรู้"? ประเทศอินเดียจะมีบัณฑิตสำเร็จการศึกษาขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 จากการคาดการของ OECD ในปี 2020 OECD ได้พยายามวิเคราะห์ถึงเรื่องตลาดแรงงาน ซึ่งปัจจัยส่วนใหญ่ยังเทไปให้สาขาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสาขาที่เกี่ยวข้องต่างๆอยู่พอสมควร งานเหล่านี้ได้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการจ้างงานที่สูงโดยเฉพาะประเทศในแถบสแกนดิเนเวียและยุโรปตอนเหนือ โดยในทางตรงกันข้ามนั้น พนักงานในงานด้านเทคโนโลยีจะเป็นเพียงแค่งานในบริษัทเล็กๆในประเทศจีนและอินเดียเท่านั้น OECD สรุปให้เห็นถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมากที่เกิดขึ้นในวงการอุดมศึกษา จะมีแรงงานฝีมือเพิ่มมากขึ้นแทนที่แรงงานไร้ฝีมือที่กำลังเลือนหายไป ทีมงานของสถาบันวิจัยอินเทอร์เน็ตแห่ง?University of Oxford ได้ผลิตชุดแผนที่ ซึ่งเรียกว่า?"ภูมิศาสตร์ความรู้ของโลก" (geography of the world's knowledge)?ซึ่งใช้วัดประชากรที่บริโภคข้อมูลข่าวสารออนไลน์ซึ่งสำรวจผ่านทาง Google โดยเน้นตัวเลขสถิติในเรื่อง?ความเข้มข้นของกิจกรรมทางวิชาการ (academic activity)?และการมุ่งค้นคว้าข้อมูลในวิกิพีเดียในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก (the geographical focus of Wikipedia articles)?และในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจของประเทศในเอเชียจะถูกครอบงำทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องจากวัฒนธรรมประเทศตะวันตก Prof Viktor Mayer-Schonberger?จากสถาบันวิจัยอินเทอร์เน็ต ได้บอกว่า "ในตัวเลขดิบนักศึกษาปริญญาตรีและปริญญาเอกในเอเชียจะมีอัตราการแข่งขันสูงมาก แต่วิธีการของประเทศตะวันตกจะมีความแข็งแรงมากกว่าเพราะการควบคุมสถาบัน โดยที่นักเรียนในประเทศจีนจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น แต่พวกเขายังคงใช้ประโยชน์จากวิธีการแบบตะวันตกในการเผยแพร่ผลงานของเขา"สหรัฐอเมริกาได้รับฉายาว่าเป็นมหาอำนาจในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
แผนที่ยังชี้ให้เห็นว่าแอฟริกาและอเมริกาใต้ยังคงมีการสูญเสียจากการแย่งชิงพื้นที่ด้านการศึกษาอยู่มาก ซึ่ง?Prof Mayer-Schonberger กล่าวด้วยคำพูดที่ตะลึงว่า?"completely shocked"?มันเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างไม่มีคำอธิบายในขอบเขตของความไม่สมดุลนี้ นอกจากนี้เขายังอธิบายถึงเรื่องการศึกษาเช่นที่ออกซฟอร์ด จะแสดงฐานการวิจัยที่เข้มแข็งแต่มันยังมีวงจำกัดของพื้นที่และกิจกรรมทางเศษณฐกิจ ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกา เช่นที่?Silicon Valley และ Boston ยังคงมีผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนอย่างมหาศาลนั่นเอง "นี่คือรูปแบบใหม่ของแผนที่อุตสาหกรรม มันไม่ใช่การใช้ถ่านหินหรือแร่เหล็กเข้ามาช่วย แต่มันจะเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยและนวัตกรรม" เขียนบทความ/แปล/เรียบเรียงโดย :?ต้นซุง Eduzones ขอบคุณข้อมูล?:Sean Coughlan???[1]
ชนิตสิรี แก้วอุด
ชม 19 ครั้ง
TOP RELATED
NEW STORIES