หลังจากโควิดปิดกั้นการเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศซะนานเป็นปี จากแทบไปไม่ได้เลย มหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ ทั่วโลกที่ต้องพึ่งพารายได้จากค่าเรียนของนักเรียนต่างชาติจำนวนมหาศาล ต้องปรับมาเป็นระบบไฮบริด หรือรับเข้าแต่ให้เรียนออนไลน์ไปพลาง ๆ ก่อน เมื่อสถานการณ์โควิดเจือจางค่อยบินมาแคมปัสจริงอีกที
จนกระทั่งปลายปี 2022 ฟ้าเริ่มใสจากเจ้าโรคร้าย ประเทศต่าง ๆ พากันผ่อนปรนเงื่อนไขในการเข้าประเทศให้น้อยลง การโกอินเตอร์เพื่อเรียนเมืองนอกของนักเรียนทั่วโลกจึงเริ่มกลับมาคึกคัก และแทบจะปกติแล้วในช่วงกลางถึงปลายปี 2023
ในวาระใกล้สิ้นปีและเข้าสู่ปี 2024 ผู้เขียนก็ขออวยพรให้แฟน ๆ ที่ติดตามแวดวงข่าวทุนรียนต่อต่างประเทศ จงประสบความสำเร็จในเส้นทางการศึกษา และผู้ที่หวังได้ทุนเรียนต่อนอก ก็ขอให้มีความเพียรที่ไม่ย่นย่อในการขวนขวายหาข้อมูล และเตรียมความพร้อมให้ดี ท้ายที่สุดก็พิชิตทุนได้ดังปรารถนาทุกคน(สาธุ...) เพราะเรื่องเรียนต่อต่างประเทศ จำเป็นต้องหาข้อมูลครบทุกด้าน ทั้งการเรียนการศึกษา สภาพแวดล้อม สภาพสังคม ที่อยู่อาศัย ค่าครองชีพ รวมถึงโอกาสเพิ่มประสบการณ์ในด้านการทำงาน ที่ช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงิน
ปี 2003 ประเทศใดคือท็อปฮิตไปเรียน
สหรัฐอเมริกา ยังไงก็ยังเป็นอันดับ 1 ตลอดกาล เพราะได้เปรียบชาติอื่น ๆ อยู่มากโข ด้วยขนาดประเทศที่ใหญ่มาก มีมหาวิทยาลัยเป็นพัน ๆ แห่ง และระดับคุณภาพคับแก้วระดับโลกก็มากมาย มีความเป็นประเทศพหุวัฒนธรรม ชาติที่เน้นเทพีแห่งสันติภาพ ที่นี่ยังได้ชื่อว่ามีคนมาเรียนกันหลายเชื้อชาติมาก ๆ ส่วนประเทศไทย อีกปัจจัยที่ทำให้นักเรียนไทยไปเรียนก็คือการมีฐานคนไทยอยู่ในอเมริกานับแสนชีวิต ย่อมมีส่วนช่วยเหลือ หรืออำนวนความสะดวกให้ได้ไม่มากก็น้อย ทั้งเรื่องเรียนและทำงาน
เรื่องทุนการศึกษาก็มีหลากหลาย หนักไปทางมหาวิทยาลัยและองค์กรการกุศลต่าง ๆ ส่วนหากเป็นทุนรัฐบาลสหรัฐอาจไม่มากนัก แต่ก็มีในรูปแบบทุนแลกเปลี่ยนอยู่เป็นระยะซึ่งคนติดตามเพจทุนก็จะได้เห็นตามที่ทางเรานำเสนอไปตลอด
วันนี้ขอเกริ่นนำประมาณนี้ก่อนครับ ยังมีอีกหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น สหราชอาณาจักร หรือ UK, แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งที่โดดเด่นสุด ๆ ในทวีปเอเชีย อย่าง จีน ที่ใน EP ถัดไปเราจะมากล่าวถึงมากหน่อย เพราะมีหลายเรื่องน่าสนใจมาก ทั้งมหาวิทยาลัย และจำนวนทุนที่ปี ๆ ให้มากมายเหลือเกิน เป็นโอกาสที่มองข้ามไม่ได้จริง ๆ ...