ได้ทุนมาเรียนญี่ปุ่นจนได้
....
จริงๆได้มาครึ่งปีแล้ว แต่เพิ่งได้มีโอกาสเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ไหนๆก็ได้เปิดตัวแล้ว เลยอยากถือโอกาสนำสิ่งที่ได้เจอ ได้พบ ได้เห็นในญี่ปุ่นมาบอกต่อคนที่สนใจกันค่ะ
ก่อนจะเล่าเรื่องว่าอยู่ญี่ปุ่นแล้วเป็นไงบ้าง
วันนี้อยากจะเล่าเรื่องตอนที่มานะบากบั่นจนสอบทุนมาได้ก่อน
เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นเด็กนอกเหมือนกัน
อะแฮ่มๆ ... ไอ้ตัวเรานี่หนาก็ไม่ได้เป็นเด็กเก่งอะไรมากมาย
ไม่ใช่ประเภทที่บอกว่า "ชั้นไม่เก่งนะ" แต่จริงๆเทพ แบบพวกเด็กเทพชอบทำกัน
....โนค่ะ..ดิฉันไม่ใช่พวกนั้น
เป็นเด็กระดับ สมองพอไปไหว ถ้าตั้งใจก็พอโอเค
ที่อยู่รอดมาได้ดิบได้ดีจนถึงวันนี้ เพราะความตั้งใจล้วนๆจริงๆ
ก่อนมาญี่ปุ่น เป้าหมายสูงสุดคือการสอบได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (เรียกสั้นๆว่าทุนมง)
เพราะถ้าไม่ได้ทุน ก็ไม่มีเงินพอจะไปเรียนเอง แค่ไปเที่ยวญี่ปุ่นยังคิดแล้วคิดอีกเลย ..แพง..
ซึ่งเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดมาก
เคยลองทำข้อสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นดูหลายที..ก็แบบ..ทำไม่ด้ายยยย
ข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษทุนมง ที่คนที่เค้าเรียนอังกฤษมาอย่างถูกต้องและจำได้ จะบอกว่า "ไม่ได้ยากมากนะตัวเธอ"
เราเอง เป็นคนไม่เก่งอังกฤษ ดูข้อสอบยังยอมรับเลย ว่ามันไม่ได้ยากมากจริงๆ ถามตรงๆ อะไรเงี้ย
แต่ก็ทำไม่ด้ายยยย เพราะความรู้อังกษน้อยมว๊ากก
ทำแต่ละทีได้แค่ไม่ถึง 50 คะแนนเงี้ย ความหวังว่าจะผ่านทุนนี่แทบไม่มี
จริงๆค่ะ
ลงสนามจริงก็เคยมาแล้ว ตกรอบแรกตามระเบียบ
.....
พูดมาซะนาน ที่อยากจะบอกคือ "ในเมื่อทำไม่ได้ แล้วทำไมสุดท้ายยังได้ทุนมงมา"
เพราะว่า เรา
"ไม่ท้อ และติดตาม" ค่ะ
ถึงเราจะรู้ระดับตัวเองว่าทำข้อสอบได้แค่ไม่ถึง 50 คะแนน แต่เราก็พยายามตั้งใจเรียนอังกฤษตลอด ตั้งใจอ่าน ตั้งใจทำข้อสอบเพื่อเตรียมตัว
หาข้อมูลทุนตลอดไม่อยู่เฉย ด้วยความหวังที่ว่า "วันนึงจะได้ทุนไปญี่ปุ่น"
จนวันนึง หลังจากติดตามหาข้อมูลทุนอย่างสม่ำเสมอ เราก็พบว่า มีทุนรัฐบาลญี่ปุ่นแบบไม่ต้องสอบอังกฤษด้วย
คือสมัครตรงผ่านมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเลย ส่ง Study Plan ไปให้เค้า แล้วมหาลัยที่ญี่ปุ่นถ้าเค้าสนใจ Study Planเรา
เค้าก็จะเรียกสัมภาษณ์ออนไลน์
แล้วก็ผ่านมาได้ในที่สุด โอ้เย้!!
คือไม่ใช่ว่าทุนผ่านมหาลัยนี้มันจะง่ายมากอะไรอย่างงี้หรอกนะคะ เพราะมันก็ต้องแข่งกับคนทั่วโลกที่เค้าสมัครไป
แต่ว่า การสัมภาษณ์ และการเขียน Study Plan นั้น เราถนัดกว่าการสอบข้อเขียนวิชาภาษาอังกฤษ
สิ่งเหล่านี้เลยทำให้รู้ว่า ถ้าเราสม่ำเสมอกับมัน ตั้งเป้าว่าจะไป หาข้อมูลตลอด ก็จะทำให้เจอข้อมูลดีๆที่เหมาะกับเรา และเราเอื้อมถึง
(ถ้าให้เราไปสมัครทุนมงผ่านสถานทูตที่ต้องสอบข้อเขียน ป่านนี้ก็คงยังไม่ผ่าน เพราะทำข้อเขียนไม่ได้)
ประสบการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเราเอง
มีเพื่อนคนนึง เค้าไม่ได้เก่งกาจอะไร เรียนมหาลัยธรรมดา เป็นเด็กเรียนกลางๆ บ้านไม่รวย
แต่เค้าเป็นคนล่าทุน มีทุนอะไรสมัครตลอด ตามข้อมูลทุนต่างๆตลอด ไม่ยอมเลิกไม่ยอมลา
ซึ่งด้วยความสามารถที่ไม่มากเท่ากับคนอื่นๆ ทำให้บ่อยครั้งที่ตกรอบแรกตามระเบียบ
แต่ว่า ด้วยความที่ไม่ท้อ สมัครแหลก เลยได้มีโอกาสเจอทุนบางทุนที่น่าสนใจมากแต่แทบไม่มีคนสมัคร (เพราะคนไม่รู้จัก)
หรือคัดเลือกไม่ยากมาก แถมได้ไปประเทศหรูๆด้วยนะ แถมไม่ได้เจอแค่ครั้งเดียว เจอหลายครั้งแล้วด้วย
..และตอนนี้เค้าคนนั้นก็ได้ทุนไปเรียนต่อยุโรปเรียบร้อย
(ทุนที่เพื่อนได้เป็นทุนที่แทบไม่มีคนสนใจ ต้องสมัครผ่านสถานทูตซักที่(ลืมแล้ว) มีคนสมัครสองสามคน ..เงี้ย..ทุนแบบนี้ก็มีนะคะ)
เราว่า อย่างเราที่ได้ทุนมงแบบไม่ต้องสอบข้อเขียน หรืออย่างเพื่อนเราที่ได้ทุนไปยุโรปโดยแทบไม่มีคู่แข่ง
อาจจะเรียกได้ว่า "โชคดี" "ฟลุ๊ก" "ส้มหล่น" "จังหวะดี" หรืออะไรก็ได้
แต่เราเชื่อว่า "โชคดี" "ฟลุ๊ก" "ส้มหล่น" "จังหวะดี" เหล่านี้เนี่ย มันเกิดขึ้นได้เพราะเราไขว่คล้าตามหามัน ไม่นอนรอมันอยู่เฉยๆ
อยากได้ ก็ต้องหา
จริงๆนะคะ
วันนี้เล่าเรื่องเครียดเชียว เดี๋ยววันหลังจะอัพเกี่ยวกับชีวิตในญี่ปุ่นแล้ว
มาอยู่นี่ เจอเรื่องน่าสนใจเพียบเลย ^_^
ด้านล่างคือรูประหว่างทางไปมหาลัยที่ญี่ปุ่น สุนทรีย์มาก รถไฟวิ่งผ่านอุโมงค์ซากุระ ถ้าไม่ได้มาเรียนก็ไม่ได้เจอแบบนี้แน่นอน..ดีใจ (>_<)